ดาวน์โหลดได้ที่ https://bit.ly/3ygftDw
สำหรับครูที่ดูแลนักเรียนทุนคงทราบดีว่า หลาย ๆ ทุนมักกำหนดให้ส่ง ‘เรียงความ’ ประกอบการสมัครด้วย เรียงความจึงถือเป็นอาวุธชิ้นสำคัญที่นักเรียนสามารถใช้เป็นพื้นที่ในการแนะนำตัว เล่าแนวความคิด ประสบการณ์ เรื่องที่ภาคภูมิใจ ตลอดจนอนาคตที่วางไว้ โดยเรื่องราวเหล่านี้จะมีผลอย่างมากต่อการตัดสินใจ และพิจารณาคัดเลือกผู้รับทุนการศึกษา วันนี้แอดมินส่องทางทุน by กสศ. เลยมีเทคนิคการเขียนเรียงความเพื่อพิชิตใจคณะกรรมการมาฝากกันค่ะ ตั้งแต่ขั้นตอนก่อนเริ่มเขียน ระหว่างเขียน ไปจนถึงตอนที่เขียนเสร็จแล้ว ไปติดตามกันได้เลยค่ะ…
1. ทำความเข้าใจข้อกำหนด : ก่อนเริ่มเขียนควรให้นักเรียนอ่านรายละเอียดให้ครบถ้วนว่าหัวข้อคืออะไร ต้องเขียนความยาวกี่หน้ากระดาษ
รูปแบบกระดาษที่ต้องเขียนหรือต้องพิมพ์ส่งเป็นอย่างไร มีแบบฟอร์มให้หรือไม่ หรือหากต้องพิมพ์ส่ง
ต้องใช้รูปแบบอักษรแบบใด ขนาดตัวอักษรเท่าไร ฯลฯ โดยแต่ละทุนจะมีข้อกำหนดมากน้อยแตกต่างกันไป
การศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนเริ่มเขียน จะทำให้นักเรียนสามารถวางแผนการเขียนเรียงความได้ดีขึ้น
และยังเป็นการแสดงถึงความใส่ใจของตัวผู้สมัครทุน เพราะหลายครั้งการเริ่มทำโดยไม่เข้าใจคำสั่งที่กำหนดไว้
อาจทำให้นักเรียนต้องเสียเวลากลับมาแก้ทีหลัง และหลายทุนที่มีผู้สมัครจำนวนมาก การพลาดกติกาแม้เพียงเล็กน้อย
เช่น ไม่ได้เขียนลงในกระดาษฟอร์มที่กำหนดไว้ให้ หรือเขียนสั้น/ยาวเกินกว่ากำหนด ก็อาจทำให้ถูกตัดสิทธิ์โดยไม่พิจารณาได้อย่างน่าเสียดาย
2. วางโครงเรื่องที่จะเล่า แล้วนำมาเรียงลำดับ : ก่อนอื่นลองชวนนักเรียนตีโจทย์ว่าหัวข้อนี้สามารถพูดถึงเรื่องอะไรได้บ้าง และเชื่อมโยงกับตัวเขาตรงไหนบ้าง
โดยอาจช่วยกันเขียนแผนภาพระดมความคิด (Brainstorming) ลงบนกระดาษ เพื่อจัดระเบียบความคิดก่อน
ยกตัวอย่างเช่น เรียงความหัวข้อ ‘อาชีพในฝัน’ และตัวนักเรียนอยากเป็นวิศวกร ก็สามารถเล่าถึงเหตุผลว่าทำไมถึงอยากเป็น
เรื่องราวของคนในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับสาขาอาชีพนี้ วิชาคำนวณที่ชอบเรียน แรงบันดาลใจที่ได้จากการพูดคุยกับรุ่นพี่วิศวะ
หรือเป้าหมายชีวิตในอนาคต ฯลฯ เมื่อได้ไอเดียออกมาหมดแล้ว จึงค่อยมาเลือกและเรียงลำดับความสำคัญว่าเรื่องใดบ้างที่ควรจะถูกพูดถึงในเรียงความซึ่งมีพื้นที่จำกัด
ในขั้นตอนวางแผนการเขียนนี้ ครูสามารถเข้ามามีส่วนช่วยได้มาก โดยชวนนักเรียนมาทำด้วยกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และช่วยเรียงลำดับความคิดให้กับเขา
ขั้นตอนนี้จะช่วยให้นักเรียนมีความเข้าใจ และเห็นภาพร่างของสิ่งที่จะเขียนอย่างชัดเจน
ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเวลาเขียนได้มากแล้ว ยังทำให้นักเรียนมีความมั่นใจที่จะลงมือเขียนมากขึ้นอีกด้วย
3. เริ่มต้นให้น่าติดตาม ปิดท้ายให้น่าจดจำ : การเริ่มต้นคำนำที่ดีเปรียบเสมือนการฉายหนังตัวอย่างเพื่อดึงดูดใจให้คนอยากไปดูหนังเต็ม ๆ
ดังนั้นประโยคแรกของเรียงความจึงสำคัญมาก ลองให้นักเรียนนึกภาพว่าถ้ามีผู้สมัครส่งเรียงความเข้ามาหลักร้อยหลักพัน
จะทำอย่างไรให้เรียงความของเขาดึงดูดความสนใจให้กรรมการหยิบขึ้นมาอ่าน และอยากติดตามอ่านต่อจนจบ
โดยเราสามารถแนะนำเทคนิคการเล่าเรื่อง ให้พวกเขาลองปรับเนื้อหาประโยคบอกเล่าธรรมดาให้น่าสนใจขึ้นได้
ยกตัวอย่างเช่น “ผมอยากเป็นวิศวกร เพราะผมไปทัศนศึกษาที่โรงไฟฟ้า เมื่อ พ.ศ. 2565” อาจปรับเป็น
“เมื่อตอนอยู่ ป.6 ผมได้ไปทัศนศึกษาที่โรงไฟฟ้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับสิ่งที่ผมอยากจะทำไปตลอดชีวิต”
นอกจากการเริ่มเรื่องให้ดึงดูดใจแล้ว ก็ควรมีการปิดท้ายที่น่าประทับใจด้วย โดยให้นักเรียนคิดไว้เสมอว่า ถ้ากรรมการได้อ่านเรียงความชิ้นนี้
จะทำอย่างไรให้เขาจดจำเรียงความชิ้นนี้ได้ และถ้าเลือกจำได้เพียง 1 อย่างของเรียงความ ผู้เขียนอยากให้กรรมการจดจำว่าอย่างไร
แล้วเลือกเขียนเน้นย้ำสิ่งนั้นเพื่อทิ้งท้าย ซึ่งเราสามารถแนะนำให้ทำได้หลายวิธี เช่น ประโยคง่าย ๆ ที่จริงใจเพื่อดึงความรู้สึกร่วม
ประโยคคำถามเพื่อให้ฉุกคิด สำนวนหรือคำกล่าวของบุคคลดังที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง
หรืออาจเป็นเพียงประโยคบอกเล่าที่สามารถรวบใจความสำคัญของเรื่องทั้งหมดไว้ในประโยคเดียวก็ได้
4. ยกตัวอย่างในชีวิตจริง : เพราะกรรมการไม่ได้คาดหวังความสมบูรณ์แบบจากนักเรียน แต่อยากรู้จักตัวตน และความรู้สึกนึกคิดของพวกเขามากกว่า ดังนั้นเราสามารถแนะนำให้นักเรียนยกตัวอย่างเรื่องเล่าของตัวเขาได้หลากหลาย ไม่จำเป็นต้องเล่าแค่เรื่องที่ภาคภูมิใจ หรือความลำบากที่ทำให้มาขอทุนเท่านั้น เขาสามารถเล่าเหตุการณ์เล็กน้อยต่าง ๆ และพูดถึงความรู้สึกที่มีต่อเหตุการณ์นั้น ทั้งความสุข ความเศร้า ความกลัว หรือวิธีการที่ใช้ก้าวผ่านอุปสรรคนั้นมา เพราะเรื่องราวเหล่านี้จะช่วยเติมให้เรียงความมีชีวิต มีความเป็นมนุษย์ และมีความเฉพาะเจาะจง ทำให้คณะกรรมการรู้จักความเป็นตัวนักเรียนคนนั้นมากขึ้น
5. อ่านทบทวนก่อนส่ง : แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะการสะกดคำให้ถูกต้อง ไม่ตกหล่น เว้นวรรคและย่อหน้าถูกต้อง จะทำให้การอ่านราบรื่น ไม่สะดุด และยังแสดงถึงความละเอียดรอบคอบของผู้สมัครอีกด้วย โดยการอ่านทบทวนนี้ ควรอ่านโดยตัวนักเรียนเองอย่างน้อย 1 รอบ และส่งให้ครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว หรือครูภาษาไทย ให้ช่วยอ่านและแสดงความเห็น ทั้งในเชิงเนื้อหา และการใช้ภาษา เพราะการได้รับความคิดเห็นจากผู้อื่นก่อนส่ง จะทำให้นักเรียนมองเห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองอาจมองไม่เห็น และได้มุมมองความคิดอื่นที่กว้างกว่าแค่ตัวเอง โดยเมื่อได้เปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่างหลากหลายแล้ว ควรให้นักเรียนนำกลับไปพิจารณาปรับแก้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยที่เนื้อหายังคงความเป็นตัวเขาอยู่ด้วย
แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐาน แต่ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะการสะกดคำให้ถูกต้อง ไม่ตกหล่น เว้นวรรคและย่อหน้าถูกต้อง จะทำให้การอ่านราบรื่น ไม่สะดุด และยังแสดงถึงความละเอียดรอบคอบของผู้สมัครอีกด้วย โดยการอ่านทบทวนนี้ ควรอ่านโดยตัวนักเรียนเองอย่างน้อย 1 รอบ และส่งให้ครูที่ปรึกษา ครูแนะแนว หรือครูภาษาไทย ให้ช่วยอ่านและแสดงความเห็น ทั้งในเชิงเนื้อหา และการใช้ภาษา เพราะการได้รับความคิดเห็นจากผู้อื่นก่อนส่ง จะทำให้นักเรียนมองเห็นข้อผิดพลาดที่ตัวเองอาจมองไม่เห็น และได้มุมมองความคิดอื่นที่กว้างกว่าแค่ตัวเอง โดยเมื่อได้เปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่างหลากหลายแล้ว ควรให้นักเรียนนำกลับไปพิจารณาปรับแก้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยที่เนื้อหายังคงความเป็นตัวเขาอยู่ด้วย
คุณครูของ กสศ. ติดตามข้อมูลทุนการศึกษาอื่น ๆ นอกเหนือทุนของเราได้ที่
เฟซบุ๊กกรุ๊ป “ส่องทางทุน by กสศ.”